วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอกาสที่หายไป....Missed the chance.

ระยะเวลาเดือนกว่าๆที่ผ่านมาฉันใช้เวลาในตอนเช้ามืดของแต่ละวันนั่งดูสิ่งแปลกปลอมที่มาอาศัยอยู่ในสวนเล็กๆภายในบ้านของฉัน จริงๆแล้วสิ่งแปลกปลอมที่เป็นต้นเรื่องของเรื่องนี้เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ฉันมักจะใช้เวลาว่างที่ฉันมี ขับรถออกเที่ยวตามหาพวกเค้าตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าดูและบันทึกภาพ บางครั้งฉันต้องขับรถออกไปไกลแสนไกลเพื่อใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการบันทึกภาพพวกเค้า ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเค้าจะมาอยู่ในสวนเล็กๆ และห่างออกไปจากที่ที่ฉันจะมานั่งจิบกาแฟทุกๆเช้าเพียงไม่กี่ก้าว พวกเค้ามาให้ฉันเห็นทุกๆความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอีกร่วมเดือนข้างหน้า แน่นอนฉันตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับครอบครัวเจ้านกกระจิบธรรมดาสองผัว-เมีย คู่หนึ่ง ซึ่งวันแรกที่ฉันเห็นพวกเค้าได้ดัดใบไม้ขนาดย่อมๆใบหนึ่งเพื่อทำเป็นรังรูปทรงกระบอกที่ปลายด้านหนึ่งถูกม้วนเข้าหากันจนเกือบจะเป็นรูปกรวยอยู่แล้ว....พวกเค้าทำแบบนั้นเพื่อรอต้อนรับสมาชิกใหม่ตัวน้อยๆของพวกเค้า แน่นอนฉันก็กำลังตื่นเต้นไม่แพ้พวกเค้าเลย.....





Common Tailorbird



ปรกติเมื่อเพื่อนตัวน้อยของฉันจะเลือกสถานที่เพื่อทำรังสำหรับรอต้อนรับสมาชิกใหม่นั้น พวกเค้าจะต้องแน่ใจว่าสถานที่ที่เค้าจะเลือก จะต้องเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัย ใกล้แหล่งอาหารและน้ำ ซึ่งจริงๆแล้วในบ้านของฉันมีสุนัขอ้วนอารมณ์บูดอาศัยอยู่ด้วย และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันนึกถึงเป็นสิ่งแรกหลังจากที่ฉันได้เห็นรังของพวกเค้าในวันแรก....ใบไม้ที่พวกเค้าเลือกทำรังอยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไปประมาณ 1 เมตรเศษๆ หรือประมาณระดับสายตาของมนุษย์อย่างเราๆ ซึ่งฉันก็คาดว่าน่าจะพ้นระยะกระโดดของเจ้าสุนัขอ้วนอารมณ์บูดของฉันได้ ใต้รังที่พวกเค้าเตรียมไว้มีอ่างน้ำที่ีพี่ชายของฉันใส่น้ำพุเล็กๆเอาไว้ด้วย และหากพวกเค้าบินห่างออกไปจากรังไม่เกินระยะ 10 เมตร ก็จะพบกับทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่ที่จะพอหาอาหารให้กับสมาชิกที่กำลังจะออกมาดูโลกในไม่กี่วันข้างหน้า....นั่นกระมังที่พวกเค้าเลือกสถานที่ในสวนเล็กๆของฉันเป็นสถานที่สำหรับลูกๆของพวกเค้า แต่อีกใจนึงก็อดคิดไม่ได้ว่าแล้วมนุษย์ตัวโตๆอย่างฉันล่ะ พวกเค้าไม่กลัวเหรอ...........

วันแรกที่ฉันเห็นพวกเค้า เจ้าตัวเมียเริ่มเข้ารังเพื่อกกไข่ใบเล็กๆของพวกเค้า แต่ฉันไม่เข้าไปนับหรอกว่ามีไข่ทั้งหมดกี่ใบ และฉันยังกำชับกับคนในบ้านด้วยว่าไม่จำเป็นอย่าเดินเข้าไปใกล้ๆรังของพวกเค้า จะไปรบกวนพวกเค้าเปล่าๆ(ฉันบอกขณะที่พี่ชายของฉันกำลังจ่ำอ้าวๆเข้าไปที่รังพวกเค้า...แน่นอนพี่ชายฉันหยุดและมองรังของพวกเค้าห่างๆ)...อย่างน้อยฉันก็มีพี่ชายที่พูดง่าย บอกอะไรก็ทำ......ทุกๆเช้าเจ้าตัวผู้จะมาเกาะที่กิ่งหน้ารังเพื่อชักชวนตัวเมียให้ออกไปยืดเส้นยืดสาย....พวกเค้าทำแบบนั้นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ และหลังจากนั้นฉันเริ่มเห็นพวกเค้าบินเข้ามาที่รังพร้อมกับคาบอาหารในปากของพวกเค้ามาด้วย....ลูกๆของพวกเค้าคงฟักออกจากไข่แล้ว (ฉันคิดพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ฉันรู้ตัวว่าฉันทำแบบนั้น) ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันไม่คิดแม้จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพพวกเค้า เพราะระยะใกล้มากๆฉันไม่อยากกวนพวกเค้าและฉันจะนั่งตัวแข็งทื่อทุกๆครั้งที่ฉันนั่งอยู่ตรงที่ของฉันขณะที่พ่อ-แม่นำอาหารมาป้อนลูก ฉันกลัวพวกเค้าเห็นฉัน....แต่ฉันว่าฉันคงไม่รอดจากสายตาพวกเค้าแน่ๆ....ฉันได้แต่หวังว่าลูกของพวกเค้าคอกนี้คงจะได้ฝึกบินในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และปีหน้าพวกเค้าอาจจะกลับมาที่สวนเล็กๆของฉันอีกหากปีนี้ทุกๆอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี...ฉันหวัง.........................หลังจากที่ฉันเฝ้าดูพวกเค้าป้อนอาหารลูกๆของพวกเค้ามาประมาณ 1 อาทิตย์........ฉันก็มีเหตุที่จะต้องละทิ้งการเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเค้าไป...

ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ฉันต้องหายจากที่ฉันนั่งทุกๆเช้าเป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็มๆ เพราะต้องเดินทางไปทำหน้าที่ในต่างแดน ก่อนจะไปฉันยังจำได้ว่าเสียดายที่จะไม่ได้เฝ้าพวกเค้าอีก เพราะฉันคิดว่าในวันที่ฉันจะเดินกลับมายังประเทศไทย ลูกๆของพวกเค้าก็คงจะบินออกจากรังไปแล้วเป็นแน่ หรือถ้าฉันโชคดีฉันคงกลับมาทันเห็นลูกๆของพวกเค้าเริ่มฝึกบินอยู่แถวๆรังน้อยๆของพวกเค้าก็ได้...ตลอดระยะเวลาที่ฉันเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของฉันๆแทบไม่มีเวลาเลยที่จะคิดถึงพวกเค้า อาจเป็นเพราะฉันได้ทำใจแล้วว่าคงกลับไม่ทันเห็นลูกๆของพวกเค้าก่อนที่จะเดินทางไป...จนกระทั่งฉันมานึกถึงพวกเค้าขณะที่ตัวฉันเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ในเครื่องบินโดยสารที่กำลังมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่กว่าเครื่องจะถึงก็เกือบจะตี 1 ฉันคงต้องรอจนสว่างถึงจะได้เจอกับพวกเค้า แต่ก็ไม่เป็นไรหากพวกเค้าออกจากรังไปแล้่ว ก็ยังคงเหลือรังของพวกเค้าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า...ก็ยังดีหากเป็นเช่นนั้น เพราะนั่นแสดงว่าพวกเค้าปลอดภัยกันดี และอาจจะกลับที่สวนเล็กๆของฉันอีก.....ฉันคิด ก่อนที่จะหลับตาลงไปบนเก้าอี้ตัวจิ๋วเมื่อเทียบขนาดร่างกายของฉันด้วยความอ่อนเพลีย.....

......ขณะนี้สายการบิน...ได้นำท่านมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เป็นเวลา.....บลา บลา บลา.....พนักงานประจำเครื่องบินได้ประกาศในทันทีที่ล้อของเครื่องบินที่ฉันโดยสารมาแตะรันเวย์สนามบิน หลังจากฉันผ่านพิธีการต่างๆในสนามบินแล้ว ก็บอกลาเพื่อนร่วมงานที่เดินทางไปด้วยกัน แล้วดึงตัวเองมุ่งตรงกลับบ้าน...ด้วยความอ่อนเพลียฉันมาถึงบ้านพักของฉันเอาเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว ฉันเหลือบสายตาไปที่รังของเพื่อนตัวน้อยของฉันแว็บหนึ่งก่อนจะรีบขนกระเป๋าเข้าบ้าน แว็บที่ฉันหันไปไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปรกติ....จนกระทั่งสายๆของวันรุ่งขึ้น ฉันชงกาแฟด้วยแก้วกาแฟใบประจำของฉันก่อนมุ่งหน้าไปนั่งประจำที่แถวๆสวนเล็กของฉันทันที....ฉันกวาดสายตามองดูรังของเพื่อนตัวน้อย.....มุมมองจากที่ฉันนั่งประจำวันนั้นฉันเห็นรังของเพื่อนตัวน้อยได้ผายออกเล็กน้อยแล้ว พร้อมกับมีเศษใย หรือฟางเส้นเล็กๆห้อยออกมาจากรังเล็กน้อย...ครอบครัวเพื่อนตัวน้อยของฉันคงออกรังไปแล้ว(ฉันคิด) เดี๋ยวกินกาแฟเสร็จฉันขอสำรวจรังของพวกแกใกล้ๆนิดนะ ฉันบอกกับตัวเอง ก่อนที่นั่งจิบกาแฟต่อไปจนหมดแก้ว....


ฉันก้าวเดินอย่างช้าๆตรงมายังรังของเพื่อนตัวน้อย ยิ่งก้าวใจฉันยิ่งเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น....ฉันไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ฉันภาวนาให้อย่าเป็นเช่นนั้นเลย.....หัวใจฉันอาจหยุดเต้นไปชั่วขณะ สมองของฉันคิดหาคำตอบต่างๆนาๆ เพื่อตอบคำถามให้กับตัวฉันเอง ว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร....ภาพที่ฉันเห็นนอกเหนือจากรังใบไม้ที่เพื่อนตัวน้อยได้สร้างขึ้นผายออก เผยให้เห็นฟางเส้นเล็กๆที่ใช้รองไข่ รองสมาชิกตัวน้อยๆที่เคยอยู่ภายในแล้ว ฉันยังเห็นร่างไร้วิญญานของสมาชิกตัวน้อยอีกหนึ่งตัว ที่มีขาข้างหนึ่งติดอยู่กับฟาง หัวห้อย ออกมานอกรัง หากไม่มีฟางเกาะเกี่ยวขาของเจ้ากระจิบตัวน้อยไว้ ฉันก็คงอาจจะเข้าใจว่าพวกเค้าออกจากรังกันด้วยความปลอดภัยทั้งหมด.....





รังของเพื่อนตัวน้อย

ชีวิตในธรรมชาติไม่ได้สวยงามซะทั้งหมด อย่างน้อยสิ่งที่ฉันพบเจอเข้ากับตัวเองก็เป็นคำตอบอย่างดีได้ว่าหากพวกเรามีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ ก็จงอย่าถือโอกาส หรือฉวยโอกาสกับธรรมชาติเลย ธรรมชาติยังคงมีด้านของความโหดร้ายอยู่ด้วยเสมอ....


กระจิบน้อยไร้วิญญาน

หากแต่ว่าเราอย่าสร้างโอกาสให้ธรรมชาติได้แสดงความโหดร้ายให้พวกเราเห็นจะดีกว่า ฉันว่าเรามีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างที่ควรจะเป็น เพราะทุกวันนี้เราก็ทำลายธรรมชาติกันมากพอแล้ว......
ขณะที่ฉันกำลังมึนงงกับสิ่งที่ฉันพบอยู่ตรงหน้า ซึ่งขณะนี้ห่างออกไปจากใบหน้าของฉันไม่ถึง 1 เมตร ฉันก็ได้ยินเสียงที่ฉันคุ้นหูมาเป็นระยะเวลาแรมเดือน....จิบ จิบ จิบ ดังขึ้นและถี่มากยิ่งขี้น ฉันกวดสายตามองไปยังต้นเสียง....เจ้าพ่อ และแม่ของกระจิบน้อยเข้ามาเกาะบนโครงหลังคา ไม่ห่างจากรังของพวกมันนัก...คงกำลังร้องเพื่อรอเสียงร้องตอบ ของลูกตัวอื่นๆ ฉันเองก็มองไม่เห็นลูกนกกระจิบตัวอื่นๆแล้ว....ฉันคาดว่าเหตุการณ์คงจะเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ฉันจะกลับมาที่บ้าน.....ฉันยิ่งเศร้าใจหนักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านักที่เห็นพ่อ แม่ กระจิบน้อยทำเช่นนั้น



ฉันว่าเป็นพ่อนกกระจิบ

ส่วนเจ้าตัวแม่ก็พยายามกระโดดไป กระโดดมาเพื่อเข้ามายังที่ที่เคยเป็นรังของพวกมัน ฉันเห็นดังนั้นฉันเลยรีบขยับหนีจากจุดที่ฉันยืนใกล้ๆรังไปยังที่นั่งประจำของฉัน....เมื่อฉันจากไป แม่นกกระจิบก็กระโดดเจ้ามาที่รังทันที มันใช้เวลาไม่นานนักเพื่อสำรวจร่างไร้วิญญานของลูกมัน ก่อนที่จะกระโดดหนีออกไป....



ฉันว่าเป็นแม่นกกระจิบ

ไม่ต้องบรรยายฉันก็เดาได้ว่าพ่อและแม่ของนกกระจิบจะเศร้าใจเพียงใด...มันคงเศร้ากว่าที่ฉันเศร้าเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่ๆ...พ่อ แม่นกยังคงร้องเรียกดังกึกก้องไปทั่วสวนเล็กๆที่บ้านฉันเป็นเวลาอีกร่วมชั่วโมง ในขณะที่ฉันเองก็พยายามหาคำตอบว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น...ลมฝนที่พัดกระหน่ำจนรังพังเสียหาย...สัตว์อื่นที่ไม่ใช่เจ้าอ้วนอารมณ์บูดของฉัน(อาจจะเป็นเจ้าเหมียวที่เดินผ่านบ้านฉันไปมาเป็นประจำ)....หรือเจ้าอ้วนอารมณ์บูดของฉัน.....ฉันคิดวนไปวนมา แต่ฉันก็สรุปไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆเจ้ากระจิบน้อยไร้วิญญานมันไม่มีโอกาสได้ฝึกบิน ไม่มีโอกาสโตขึ้นมาเป็นพ่อหรือแม่กระจิบแล้ว.......เหมือนกับฉันที่ไม่สามารถหาคำตอบสุดท้ายได้...แต่ฉัน....ฉันกลับได้เห็นจุดเริ่มต้นอันหวานชื่นและฉัน...ฉันได้เห็นบทสรุปด้านโหดร้ายของธรรมชาติ ที่น้อยคนจะได้เห็นเหมือนฉัน...ขอบคุณเจ้าครอบครัวนกกระจิบธรรมดา ธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากนกกระจิบธรรมดา ครอบครัวนี้..........มันไม่ธรรมดาจริงๆ.........


ฉันเอง....I'm standing in the world
I want to see the world but the world don't need to see me.


ขอบคุณ : สวนน้อยๆของฉัน ที่นำเรื่องราวบทหนึ่งมาแบ่งปันกับฉัน, ครอบครัวกระจิบธรรมดา(ต้นเรื่อง), เจ้าอ้วนอารมณ์บูด(ฉันยังสรุปไม่ได้ว่าแกทำรึเปล่า)แต่อย่างน้อยแกก็แกล้งทำหูทวนลมอยู่นานเป็นเดือน จนเจ้าลูกกระจิบโต














วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อยุธยา...สร้างแรงบันดาลใจเสมอ : Ayutthaya always inspiring me.

ระยะทางเพียงไม่ถึงร้อยกิโลเมตร สำหรับคนไทยอย่างเราๆคงไม่เกิดความรู้ว่าไกลเกินที่จะเดินทางไป เวลาวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็เกินพอที่จะใช้สำหรับท่องเที่ยวชมโบราณสถาน ไหวัพระ 9 วัด ไปหาอาหารอร่อยรับประทาน หรือเพียงค่าเวลาในวันหยุดให้หมดไปอย่างคุ้มค่า....แต่สำหรับฉันในวันนั้น ฉันมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างไปจากเดิม อยุธยาของฉันในวันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการไปเที่ยว ถ่ายรูปโบราณสถาน วัดวาอาราม ในวันที่สภาพอากาศเปลี่ยนไปจากที่ฉันเคยบันทึกภาพไว้ก่อนหน้าเท่านั้น วันนั้นฉันมุ่งหน้าไปอยุธยาเพื่อตามหาเพื่อนตัวใหม่ของฉันอีกชนิดหนึ่ง จริงๆฉันเคยเห็นญาติพี่น้องของพวกเค้ามาบ้างแล้ว แต่ญาติๆของเค้าแต่งตัวแตกต่างไปจากเพื่อนใหม่ของฉัน วันนั้นฉันไปตามหาเพื่อนใหม่ที่แต่งตัวสีเขียว หัวของพวกเค้าก็เขียว จะมีเพียงคอของพวกเค้าเท่านั้นที่ใส่สร้อยเส้นใหญ่สีส้ม และชุดของพวกยาวที่ปลายมีสีฟ้าสวยงาม 





นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

ฉันขับรถออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิท ที่ฉันต้องรีบขนาดนั้นเพราะแสงตอนเช้านั้นอ่อนนุ่ม การบันทึกภาพพวกเพื่อนๆใหม่ของฉันคงจะได้ภาพออกมาสวยงามทีเดียว(ฉันว่าอย่างงั้น) ฉันขับรถมุ่งสุดปลายทางด่วนบางปะอิน ก่อนจะเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางบางปะหัน ขับตรงไปไม่นานนักก็เลี้ยวซ้ายไปทางเดียวกับถนนที่มุ่งสู่อ.บางบาล แต่ไม่ได้ไปทางนั้น เพราะฉันได้ข่าวว่าพวกเพื่อนๆใหม่ของฉันกำลังรอฉันอยู่ที่ข้างถนนอีกเส้นหนึ่ง ฉันมุ่งตรงไปทันที...
ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มเห็นแสงแรกของวันนั้นแล้ว และฉันก็เกือบจะถึงจุดหมายของฉันแล้วเช่นกัน ระหว่างขับรถฉันก็นึกไปต่างๆนา ถึงเพื่อนๆใหม่ของฉันว่าพวกเค้ายังอยู่รึเปล่า จะยังหากินอยู่บริเวณที่ฉันได้ข่าวมาหรือไม่...อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเพราะฉันเคยเห็นเพียงรูปวาดของพวกเค้าในหนังสือคู่มือดูนกเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นตัวจริงๆของพวกเค้าเลย....ใช้ฉันเวลาอีกไม่นานก็มาถึงจุดนัดหมายกับพวกเค้า(ฉันแอบนัดเองคนเดียว เพราะพวกเค้าไม่รู้หรอกว่าฉันกำลังมา) การหาพวกเค้าไม่ยากนักเพราะพวกเค้ามักจะบินชวัดชเวียนอยู่บนอากาศคอยจับแมลงที่บินผ่านไปมาเป็นอาหารโดยเฉพาะผึ้ง...ดูชื่อภาษาอังกฤษของพวกเค้าก็น่าที่จะเข้าใจได้ว่าพวกเพื่อนๆใหม่ของฉันต้องชอบกินผึ้งเป็นอาหารแน่ๆ...



นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)
  
เช้าวันนั้นอากาศดีมาก แสงแดดที่ฉันคาดว่าจะอ่อนนุ่มกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ร้อนแรง แผดเผา ร้อนขึ้นและร้อนขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังดีที่ลมโชยมาเป็นระยะให้ได้พักคลายร้อนบ้าง...ฉันเลือกทำเลที่ตั้งเต็นท์บางๆของฉันเพื่อให้รบกวนเพื่อนใหม่ของฉันน้อยที่สุด เพราะพวกเค้ากำลังเลี้ยงลูกอ่อนอยู่ ฉันว่าจะบันทึกภาพพวกเค้าซักระยะเวลาสั้นๆ แล้วฉันก็จะรีบหนีไปให้ไกลไม่อยากรบกวนพวกเค้านานๆ....
ระหว่างที่ฉันบันทึกภาพของพวกเค้านั้นก็จะได้ยินเสียงพวกเค้าโฉบขึ้นไปบนอากาศเพื่อจับแมลง เสียงดังฉับ ฉับ ที่ที่ฉันแวะมาเยี่ยมพวกเค้านั้น มีแมลงหลากหลายชนิด ที่ฉันบอกอย่างนั้นไม่ใช่เพราะฉันเห็นแมลงพวกนั้นหรอก แต่เพื่อนใหม่ของฉันพวกเค้าจับมาอวดฉันต่างหาก (เราไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะปากของพวกเค้าไม่ว่างเลย) พวกเค้าหายไปจากกิ่งที่พวกเกาะไม่นานก็จะกลับลงมาจากท้องฟ้า มาที่กิ่งไม้ที่พวกเค้าเกาะประจำ พร้อมกับแมลงในปากของพวกเค้า...และนั่นแหละที่ทำให้ฉันเห็นว่าไม่ได้มีเพียงผึ้งเท่านั้นในบริเวณนั้นยังมีแมลงอื่นๆที่สามารถเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงดูลูกๆและตัวพวกเค้าเองได้ โดยเฉพาะลูกๆของพวกเค้า ตอนนั้นต้องการโปรตีนมากที่สุดเพื่อสร้างเสริมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเริ่มฝึกบิน และจากรังของพวกเค้าไปในที่สุด...



นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

แต่อย่าถามฉ้นเลยว่าลูกของพวกเค้าตัวใหญ่ขนาดเพื่อนๆของฉันมั้ย ฉันไม่รู้หรอกเพราะฉันจะไม่มีวันเข้าไปใกล้รังของพวกเค้าเด็ดขาด...รังของพวกเค้าเป็นรูที่อยู่บนเนินเดิน มีทางเดียวที่จะเห็นลูกๆของพวกเค้าได้ก็คือต้องเข้าไปที่รังแล้วต้องล้วงมือเข้าไปจับลูกๆของพวกเค้าออกมาดู แต่ก็อย่างที่บอกฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด เท่าที่ฉันทำไม่ก็เป็นการรบกวนพวกเค้ามากเกินไปแล้ว....





นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

ฉันเคยได้ยินมาว่ามีคนบางพวกที่เข้าไปบันทึกภาพบริเวณหน้ารัง ได้ภาพของพ่อ-แม่นก ยังไม่หนำใจกลับเดินเข้าไปที่รังและหยิบโทรศัพท์ iphone มาบันทึกภาพรังนกให้แจ่มๆ แบบจะจะ และอัพลง social network ประจันตัวเองผ่านระบบสื่อสารไร้สายไปในทันที แล้วเดินจากรังนกที่โดน iphone กระหนำ่บันทึกภาพเมื่อครู่ ไปบอกเพื่อนร่วมโลกกับเค้าอีกคนหนึ่งว่า I Love Nature!!!! หากฉ้นยืนอยู่ตรงนั้น ฉันคงจะตะโกนกรอกหูกลับไปเลยว่า Yes! you love the nature but you don't know how to save and take care the nature! (so poor me to living in the same world with this kind of people) คนประเภทนี้ต้องการการทำความเข้าใจอย่างจริงๆจัง จากเพื่อนร่วมโลกที่จริงใจ.... 



นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

หากเจ้าเพื่อนของฉันในรูปข้างบนพูดได้เค้าก็คง จะตัดพ้อต่อว่ากลับไปที่เจ้าคนประเภทนั้น มากกว่าฉันหลายร้อยเท่าเพราะพวกเพื่อนๆของฉันเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรง ฉันเองนี่สิกลับละอายแทน บางคนคิดว่าการกระทำในที่ลับๆ มีคนเห็นเพียงไม่กี่คนคงจะไม่เป็นไร แต่ชีวิตในธรรมชาติซับซ้อนกว่านั้นมาก แค่เพียงหากฉันเดินเข้าไปที่รังของพวกเค้าเพียงไม่กี่เสี่ยววินาที อาจนำความหายนะอันใหญ่หลวงมาสู่บ้านของพวกเค้า และที่สำคัญลูกของพวกเค้า เพราะลูกของพวกเค้าจะไม่มีโอกาสในการปกป้องตัวเองเลย...... ในโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเพื่อนๆของฉันที่เป็นผู้ล่า ยังมีผู้ล่าอยู่ในห่วงโซ่อาหารอีกหลายร้อยชนิด กลิ่นที่ติดตัวฉันจะเป็นเสียงเรียก และเป็นตัวตัวชี้เป้าให้กับสัตว์ผู้ล่าอื่นๆได้ดีทีเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้น ลูกน้อยในรังทั้งหมดก็คงไม่ได้ออกมาฝึกบินเป็นแน่.....



นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

วันนั้นฉันใช้เวลาอยู่ไม่นานนักสำหรับการบันทึกภาพพวกเค้าได้เห็นพวกเค้ามีชีวิตที่อิสระฉันเองก็มีความสุข และก็ดุว่าพวกเค้าก็มีความสุขด้วย พวกเค้าไม่ได้อาศัยอยู่ที่ที่ฉันไปหาพวกเค้าเป็นประจำ พวกเค้าจะแวะเวียนมาปีละไม่กี่เดือนเท่านั้น เค้ามาเพื่อการจับคุ่ ผสมพันธ์ุ และหอบลูกน้อยกลับบ้านของพวกเค้า ฉันไม่รู้หรอกว่าบ้านจริงๆของพวกเค้าอยู่ที่ไหน แต่ฉันรู้ว่าพวกเค้าจะกลับมาที่นี่ ที่ที่ฉันมาพบพวกเค้า มาทำความรู้จักกับพวกเค้าในวันนั้น (หากไม่มีสัญญานอันตรายใดๆที่ทำให้พวกเค้าจำใจต้องละทิ้งสถานที่แห่งนั้นไป) แล้วฉันจะรอการกลับมาของพวกเค้าอีกในปีหน้า....


นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed Bee-eater)

ฉันหวังว่าพวกเค้าจะกลับมา มาเริ่มต้นวงจรชีวิตของพวกเค้า แล้วฉันก็จะได้แวะมาเยี่ยมเยียนพวกเค้าใหม่  ถึงแม้ก่อนจากพวกเค้ามาในวันนั้นมีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวนั้น แวะมาคุยกับฉัน มาเล่าให้ฉันฟังว่ามีการล้วงรังของพวกเค้าบางรังเพื่อจับลูกน้อยของพวกเค้าไปใส่กรงเพื่อเอาไว้ดูเล่น...แต่พี่ผู้หญิงคนนั้นก็บอกกับฉันว่าลูกน้อยที่โดนล้วงรังจับไป ก็ไม่รอดชีวิตในที่สุด ก็ใช่สิ(ฉันคิด)เมื่อเอาสิ่งธรรมชาติ ไปเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมชาติ โดยไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงคงเป็นเรื่องยาก....วันนั้นฉันจบบทสนทนากับพี่ผู้หญิงคนนั้นไปด้วยคำพูดที่ว่า " ฉันชอบที่จะเฝ้าดูพวกเค้าตอนที่พวกเค้าอยู่ในธรรมชาติมากกว่า " และฉันก็ไม่อาดเอื้อมไปบอกพี่ผู้หญิงให้หยุดการกระทำของเค้าได้ ฉันคงไม่อาจทำได้ ส่วนหนึ่งก็คงต้องปล่อยให้วงจร หรือห่วงโซ่อาหารทำงานของมันไปตามธรรมชาติ.....แล้วฉันก็หันไปมองดูเพื่อนๆใหม่ของฉันซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนใหม่ซะแล้ว ก่อนที่จากลากันในวันนั้น.......แล้วเจอกันใหม่เพื่อนหัวเขียวของฉัน


ฉันเอง.... I'm standing in the world.
I like to see the world but the world don't need to see me.



ขอบคุณ :
Nissan Navara เพื่อนที่แสนดี, ข่าวสารการมาถึงของเพื่อนๆใหม่ของฉัน ซึ่งมีเพื่อนหลายท่านได้บอกให้ฟ้งอยู่หลายครั้ง ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเดินทางไปหาพวกเค้าในวันนั้น, ผู้ติดตาม (ถ้ามี) 

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันหนึ่งที่อ่างขาง : Angkhang

กลางเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เดือนที่ปีนี้ฝนค่อนข้างจะมาเร็วกว่าปรกติ แต่มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ตัวน้อยๆอย่างพวกเราคงจะเอื้อมมือไปจัดการไม่ได้ และมันก็อาจจะเป็นผลที่เกิดเนื่องจากมือน้อยของพวกเราได้ทำอะไรหลายๆสิ่ง หลายๆอย่างไป โดยไม่ได้คิด หรืออาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์..........ฉันคงไม่ได้ขึ้นมายืนรับกรรมของฉันและคนอื่นๆอยู่อย่างเดียวบนดอยอ่างขางเพียงเท่านั้น แต่ที่ฉันดั่นด้นขึ้นมาเป็นดอยแห่งนี้ก็เพราะฉันต้องการจะเจอกับเพื่อนใหม่ของฉัน ตัวเค้าอาจจะไม่ใหญ่ พวกเค้ามีภาษาพูดที่ใช้สื่อสารกันซึ่งฉันแอบหลงคิดไปเองว่าฉันพอเข้าใจพวกเค้าได้บ้าง(แต่ถูกรึเปล่าฉันไม่รู้.....) เพราะฉันได้แค่ทำเสียงล้อเลียนภาษาพูดของพวกเค้าได้เท่านั้น แต่ความหมายลึกๆที่พวกเค้าสื่อสารกันฉันคงต้องเดาต่อไป พวกเค้าจะมารวมตัวกันในที่ที่มนุษย์อย่างพวกเราได้จัดเตรียมไว้ให้ พวกเค้าจะมาเกือบตรงเวลาทุกวัน แต่ก็ไม่ได้มาทุกวันแต่่จะตรงเวลาหากพวกเค้าจะมา ยกเว้นบางพวกที่บ้านอยู่ใกล้ๆเค้าก็จะมากันเป็นประจำ

พวกเพื่อนๆใหม่ของฉันกลุ่มนี้ขี้อายมากๆ ฉันไม่อาจที่จะเปิดเผยตำแหน่งที่ฉันยืนอยู่ได้ ฉันต้องหลบอยู่ในเต็นท์บางๆ มีรูอยู่หลายรูเพื่อใช้ทำความรู้จักกับพวกเค้า หากฉันยื่นหน้ายื่นตาออกไป พวกเค้าอาจไม่อยากรู้จัก และคงจะหนีฉันไปในที่สุด........การจะได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนขอฉันกลุ่มนี้ต้องมีอุปกรณ์ แต่ก็เพืยงไม่กี่อย่างที่ทำความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพวกเค้าดำเนินต่อไปได้ อุปกรณ์ที่ฉันใช้ก็คือกล้อง เลนส์ และเต็นท์บางๆที่ฉันได้เล่าให้ฟังไปแล้ว แล้ว ณ จุดที่ฉันและพวกเค้าได้มาเจอกันก็ไม่ได้วิเศษ สวยงาม เหมือนอย่างโรงแรมดังๆในเมือง มันเป็นเพียงสวนเล็กที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่มากมาย มีอ่างน้ำเล็กๆใส่น้ำไว้ตอนรับพวกเพื่อนๆของฉันเท่านั้น ระหว่างยืนรอพวกเค้าจิตใจเค้าฉันมันเต้นรัว สมองเฝ้าจินตนาการถึงเพื่อนใหม่ของฉัน ว่าหน้าตา กริยาท่าทาง ของพวกเค้าจะเป็นอย่างไร......และแล้วก็ได้เวลานัด

เพื่อนของฉันกลุ่มแรกก็มาถึง...




นกศิวะปีกสีฟ้า (Blue-winged Minla)


เค้ามากัน 2 ตัว คู่ผู้-เมีย น่ารักมากๆ ไม่พูดไม่จา ตั้งหน้าตั้งตาเล่นน้ำ อาบน้ำ อย่างเดียว ชื่อของพวกเค้าอาจจะไม่คุ้นหูคนเมืองกรุงอย่างฉันนัก แต่ไม่ได้มีเค้าพวกเดียวที่ชื่อศิวะ ที่ดอยอินทนนท์ยังมีพวกเพื่อนๆเค้า เช่น นกศิวะหางตาล ที่บ้านของพวกเค้าจะอยู่ที่นั่น ถ้าคุณมีโอกาสขึ้นไปเที่ยวดอยอินทนนท์ ลองไปที่ร้านกาแฟใกล้หอเรดาร์ของทหารอากาศคุณก็จะได้เห็นพวกเค้ากระโดดไปกระโดดมาอยู่แถวๆร้านกาแฟนั่นล่ะ




นกศิวะปีกสีฟ้า (Blue-winged Minla)

เค้ามาถึึงแป๊ปเดียว เนื้อตัวก็เปียกซะแล้ว แต่ยังไงเจ้าเพื่อนใหม่ของฉันก็ยังดูน่ารัก น่าชังอยู่ไม่น้อย ถ้าถามถึงขนาดตัวของพวกเค้าน่ะเหรอ ก็คงจะประมาณเกือบจะเท่าลูกเทนนิสได้กะมัง และแล้วเจ้าเพื่อนใหม่ของผมตัวต่อไปก็มาถึง...



นกแว่นตาขาวสีทอง (Oriental White-eyes)

เจ้าตัวนี้มีขนาดเล็กมากๆ เล็กกว่าเจ้าศิวะปีกสีฟ้าอีก แถมว่องไว ไม่มีหยุดนิ่ง กระโดดไปกระโดดมา เกาะกิ่งนู้นที เกาะกิ่งนี้ครั้ง เจ้านี่กล้าหาญชาญชัยมาก วันนั้นผมจำได้ว่าเค้ามาตัวเดียวโดด อาบน้ำ ไซ้ขนอยู่เป็นนาน บางครั้งเค้าก็หยุดนิ่งๆเพื่อหาต้นตอของเสียว แชะ แชะ แชะ...เอ่...มันเสียงอะไรว่า ไม่ต้องสงสัยเลย เสียงชัตเตอร์ของฉันนั่นเอง ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ด้วยความที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ฉันก็กลัวว่าจะไม่ได้พบกับเจ้าแว่นตาขาวสีทองอีก ฉันก็เลยรัวชัตเตอร์เป็นการใหญ่ จนลืมนึกไปถึงว่ามันทำให้เธอรำคาญใจ...ขอโทษนะเพื่อนตัวน้อยของฉัน...


นกแว่นตาขาวสีทอง (Oriental White-eyes)

อย่างที่ฉันเล่าให้ฟ้ง เค้าแวะมาเที่ยวอยู่นาน ทำความสะอาดตัวเอง ในขณะเดียวกันเค้าก็คอยระวังภัยให้ตัวเองไปด้วย ชีวิตในธรรมชาติก็ต้องเป็นอย่างนี้ล่ะ ไม่ได้สะดวกสบายแบบมนุษย์ที่จะคอยจ้างยามมาคอยตรวจตราระวังภัยให้ ในป่า...ตัวใครตัวมัน (รักษาตัวรอดเป็นยอดดี) 


นกแว่นตาขาวสีทอง (Oriental White-eyes)

ฉันว่าวันนี้ฉันใช้เวลาได้คุ้มค่า ฉันเดินทางมา เพื่อนใหม่ฉันก็เดินทางมา เรามาเจอกันที่จุดๆหนึ่งบนโลกใบนี้ ฉันตัวใหญ่ เค้าตัวเล็ก แต่ขนาดของตัวก็ไม่ได้เป็นกำแพงกั้นขวางระหว่างเค้ากับฉันที่จะได้ทำความรู้จักกัน 


นกแว่นตาขาวสีทอง (Oriental White-eyes)

ก็คงมีความหนาของเจ้าเต็นท์ที่เพื่อนมนุษย์ของฉันเรียกมันว่า บลายด์ (Blind) เท่านั้นที่ทำให้เค้าเห็นหน้าของฉันไม่ชัดนัก แต่ไม่เป็นไรและฉันก็ว่าดี เค้าจะได้ไม่นึกว่าฉันจะนำอันตรายมาสู่เค้า และพาลหนีฉันไป ก็มีแต่เพียงเสียงชัตเตอร์จากกล้องของฉันเท่านั้น ที่เหมือนจะทำให้เค้ารำคาญใจ แต่ทำไงได้...ฉันจะรบกวนพวกเค้าให้น้อยที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ (ก็ได้แต่บอกกับตัวเอง) .... แต่ที่ฉันว่าคุ้มเพราะก่อนที่ฉันจะบอกลาเพืื่อนตัวน้อยสีทองของฉัน ก็มีเพื่อนใหม่ตามมาสมทบ


นกเขนสีฟ้าหางขาว (White-tailed Robin) ตัวเมีย

ฉันได้บันทึกภาพเจ้าตัวเมียก่อน จริงๆเค้ามาเป็นคู่ เจ้าตัวผู้ยังคงไม่ไว้ใจฉันนักที่จะเข้ามาใกล้ๆ แต่เจ้าตัวเมียเหมือนจะอุ่นใจที่มีเจ้าตัวผู้คอยระวังภัยให้อยู่ไม่ไกลนัก ถ้าฉันทำอะไรกระโตกกระตากในตอนที่พวกเค้าเพิ่งจะมาถึงพวกเค้าคงต้องบินหนีฉันไปแน่ๆ ฉันทำตัวสงบนิ่งอยู่ซักระยะเวลาสั้นๆจนแน่ใจว่าพวกเค้าไม่รู้สึกระแวงเจ้าบลายด์ของฉันมากนัก ฉันจึงแค่ๆเริ่มบันทึกภาพพวกเค้า...


นกเขนสีฟ้าหางขาว (White-tailed Robin) ตัวผู้

เจ้าเพื่อนๆของฉันที่เป็นตัวผู้มักจะมีสัญชาตญาณการระวังภัยที่รุนแรง และรวดเร็วน้อยกว่าเจ้าตัวเมีย อันนี้ฉันรู้สึกเอง แต่ก็ไม่รู้จะจริงรึเปล่า อาจจะเป็นเพราะความเป็นตัวผู้้ต้องคอยแย่งชิง แข่งขันกับเจ้าตัวผู้อื่นๆก็อาจจะทำให้มีความกล้าหาญกระมัง เลยไม่ค่อยกล้วและไม่เกรงฉันนัก เค้าเข้ามาใกล้กับบลายด์ที่ฉันแอบอยู่ ดูแววตาเค้าสิ น่ากลัวมั้ย...ฉันคุ้มจริงๆวันนี้ จริงๆไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก แต่ทำยังไงได้ฉันวางแผนที่จะขึ้นมาหาพวกเค้าตั้งเป็นเดือน ถึงเวลาพักแต่กลับไม่สบาย
แต่ก็นั่นล่ะอย่างน้อย ฉันมายืนอยู่บนที่ที่มีอากาศสดชื่น ลมเย็นๆ อากาศเย็น มันคงทำให้ฉันดีขึ้นก็ได้ ฉันคิด และฉันก็ไม่เสียเที่ยวจริงๆฉันได้เจอกับเพื่อนๆใหม่ของฉันด้วย แล้วฉันจะกลับมาเล่าให้ผู้ติดตามฉันได้อ่านกันอีก

ฉันเอง.... I'm standing in the world.
I like to see the world but the world don't need to see me.

ขอขอบคุณ :
Nissan Navara เพื่อนที่แสนดี, พี่บอย, คุณโอ๋, คุณแอร์ จากเชียงใหม่ ที่คอยสนับสนุนเป็นกำลังใจและแนะนำเพื่อนใหม่ให้, เพื่อนใหม่ทุกๆตัว ที่ทำให้ฉันได้เริ่มคิดทำอะไรใหม่ๆ และเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ระหว่างที่ฉันเดินทาง อยากบอกว่ามันทำให้ฉันเข้าใจอะไรๆมากขึ้น และเป็นแรงผลักดันให้ฉันเริ่มก้าวออกมาจากจุดที่ฉันเคยยืน....แต่ความมีจิตสำนึกของฉันยังเหมือนเดิม