วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอกาสที่หายไป....Missed the chance.

ระยะเวลาเดือนกว่าๆที่ผ่านมาฉันใช้เวลาในตอนเช้ามืดของแต่ละวันนั่งดูสิ่งแปลกปลอมที่มาอาศัยอยู่ในสวนเล็กๆภายในบ้านของฉัน จริงๆแล้วสิ่งแปลกปลอมที่เป็นต้นเรื่องของเรื่องนี้เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ฉันมักจะใช้เวลาว่างที่ฉันมี ขับรถออกเที่ยวตามหาพวกเค้าตามสถานที่ต่างๆเพื่อเฝ้าดูและบันทึกภาพ บางครั้งฉันต้องขับรถออกไปไกลแสนไกลเพื่อใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการบันทึกภาพพวกเค้า ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเค้าจะมาอยู่ในสวนเล็กๆ และห่างออกไปจากที่ที่ฉันจะมานั่งจิบกาแฟทุกๆเช้าเพียงไม่กี่ก้าว พวกเค้ามาให้ฉันเห็นทุกๆความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอีกร่วมเดือนข้างหน้า แน่นอนฉันตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับครอบครัวเจ้านกกระจิบธรรมดาสองผัว-เมีย คู่หนึ่ง ซึ่งวันแรกที่ฉันเห็นพวกเค้าได้ดัดใบไม้ขนาดย่อมๆใบหนึ่งเพื่อทำเป็นรังรูปทรงกระบอกที่ปลายด้านหนึ่งถูกม้วนเข้าหากันจนเกือบจะเป็นรูปกรวยอยู่แล้ว....พวกเค้าทำแบบนั้นเพื่อรอต้อนรับสมาชิกใหม่ตัวน้อยๆของพวกเค้า แน่นอนฉันก็กำลังตื่นเต้นไม่แพ้พวกเค้าเลย.....





Common Tailorbird



ปรกติเมื่อเพื่อนตัวน้อยของฉันจะเลือกสถานที่เพื่อทำรังสำหรับรอต้อนรับสมาชิกใหม่นั้น พวกเค้าจะต้องแน่ใจว่าสถานที่ที่เค้าจะเลือก จะต้องเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัย ใกล้แหล่งอาหารและน้ำ ซึ่งจริงๆแล้วในบ้านของฉันมีสุนัขอ้วนอารมณ์บูดอาศัยอยู่ด้วย และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันนึกถึงเป็นสิ่งแรกหลังจากที่ฉันได้เห็นรังของพวกเค้าในวันแรก....ใบไม้ที่พวกเค้าเลือกทำรังอยู่สูงจากพื้นดินขึ้นไปประมาณ 1 เมตรเศษๆ หรือประมาณระดับสายตาของมนุษย์อย่างเราๆ ซึ่งฉันก็คาดว่าน่าจะพ้นระยะกระโดดของเจ้าสุนัขอ้วนอารมณ์บูดของฉันได้ ใต้รังที่พวกเค้าเตรียมไว้มีอ่างน้ำที่ีพี่ชายของฉันใส่น้ำพุเล็กๆเอาไว้ด้วย และหากพวกเค้าบินห่างออกไปจากรังไม่เกินระยะ 10 เมตร ก็จะพบกับทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่ที่จะพอหาอาหารให้กับสมาชิกที่กำลังจะออกมาดูโลกในไม่กี่วันข้างหน้า....นั่นกระมังที่พวกเค้าเลือกสถานที่ในสวนเล็กๆของฉันเป็นสถานที่สำหรับลูกๆของพวกเค้า แต่อีกใจนึงก็อดคิดไม่ได้ว่าแล้วมนุษย์ตัวโตๆอย่างฉันล่ะ พวกเค้าไม่กลัวเหรอ...........

วันแรกที่ฉันเห็นพวกเค้า เจ้าตัวเมียเริ่มเข้ารังเพื่อกกไข่ใบเล็กๆของพวกเค้า แต่ฉันไม่เข้าไปนับหรอกว่ามีไข่ทั้งหมดกี่ใบ และฉันยังกำชับกับคนในบ้านด้วยว่าไม่จำเป็นอย่าเดินเข้าไปใกล้ๆรังของพวกเค้า จะไปรบกวนพวกเค้าเปล่าๆ(ฉันบอกขณะที่พี่ชายของฉันกำลังจ่ำอ้าวๆเข้าไปที่รังพวกเค้า...แน่นอนพี่ชายฉันหยุดและมองรังของพวกเค้าห่างๆ)...อย่างน้อยฉันก็มีพี่ชายที่พูดง่าย บอกอะไรก็ทำ......ทุกๆเช้าเจ้าตัวผู้จะมาเกาะที่กิ่งหน้ารังเพื่อชักชวนตัวเมียให้ออกไปยืดเส้นยืดสาย....พวกเค้าทำแบบนั้นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ และหลังจากนั้นฉันเริ่มเห็นพวกเค้าบินเข้ามาที่รังพร้อมกับคาบอาหารในปากของพวกเค้ามาด้วย....ลูกๆของพวกเค้าคงฟักออกจากไข่แล้ว (ฉันคิดพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ฉันรู้ตัวว่าฉันทำแบบนั้น) ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันไม่คิดแม้จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพพวกเค้า เพราะระยะใกล้มากๆฉันไม่อยากกวนพวกเค้าและฉันจะนั่งตัวแข็งทื่อทุกๆครั้งที่ฉันนั่งอยู่ตรงที่ของฉันขณะที่พ่อ-แม่นำอาหารมาป้อนลูก ฉันกลัวพวกเค้าเห็นฉัน....แต่ฉันว่าฉันคงไม่รอดจากสายตาพวกเค้าแน่ๆ....ฉันได้แต่หวังว่าลูกของพวกเค้าคอกนี้คงจะได้ฝึกบินในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และปีหน้าพวกเค้าอาจจะกลับมาที่สวนเล็กๆของฉันอีกหากปีนี้ทุกๆอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี...ฉันหวัง.........................หลังจากที่ฉันเฝ้าดูพวกเค้าป้อนอาหารลูกๆของพวกเค้ามาประมาณ 1 อาทิตย์........ฉันก็มีเหตุที่จะต้องละทิ้งการเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเค้าไป...

ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ฉันต้องหายจากที่ฉันนั่งทุกๆเช้าเป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็มๆ เพราะต้องเดินทางไปทำหน้าที่ในต่างแดน ก่อนจะไปฉันยังจำได้ว่าเสียดายที่จะไม่ได้เฝ้าพวกเค้าอีก เพราะฉันคิดว่าในวันที่ฉันจะเดินกลับมายังประเทศไทย ลูกๆของพวกเค้าก็คงจะบินออกจากรังไปแล้วเป็นแน่ หรือถ้าฉันโชคดีฉันคงกลับมาทันเห็นลูกๆของพวกเค้าเริ่มฝึกบินอยู่แถวๆรังน้อยๆของพวกเค้าก็ได้...ตลอดระยะเวลาที่ฉันเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของฉันๆแทบไม่มีเวลาเลยที่จะคิดถึงพวกเค้า อาจเป็นเพราะฉันได้ทำใจแล้วว่าคงกลับไม่ทันเห็นลูกๆของพวกเค้าก่อนที่จะเดินทางไป...จนกระทั่งฉันมานึกถึงพวกเค้าขณะที่ตัวฉันเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ในเครื่องบินโดยสารที่กำลังมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่กว่าเครื่องจะถึงก็เกือบจะตี 1 ฉันคงต้องรอจนสว่างถึงจะได้เจอกับพวกเค้า แต่ก็ไม่เป็นไรหากพวกเค้าออกจากรังไปแล้่ว ก็ยังคงเหลือรังของพวกเค้าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า...ก็ยังดีหากเป็นเช่นนั้น เพราะนั่นแสดงว่าพวกเค้าปลอดภัยกันดี และอาจจะกลับที่สวนเล็กๆของฉันอีก.....ฉันคิด ก่อนที่จะหลับตาลงไปบนเก้าอี้ตัวจิ๋วเมื่อเทียบขนาดร่างกายของฉันด้วยความอ่อนเพลีย.....

......ขณะนี้สายการบิน...ได้นำท่านมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เป็นเวลา.....บลา บลา บลา.....พนักงานประจำเครื่องบินได้ประกาศในทันทีที่ล้อของเครื่องบินที่ฉันโดยสารมาแตะรันเวย์สนามบิน หลังจากฉันผ่านพิธีการต่างๆในสนามบินแล้ว ก็บอกลาเพื่อนร่วมงานที่เดินทางไปด้วยกัน แล้วดึงตัวเองมุ่งตรงกลับบ้าน...ด้วยความอ่อนเพลียฉันมาถึงบ้านพักของฉันเอาเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว ฉันเหลือบสายตาไปที่รังของเพื่อนตัวน้อยของฉันแว็บหนึ่งก่อนจะรีบขนกระเป๋าเข้าบ้าน แว็บที่ฉันหันไปไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปรกติ....จนกระทั่งสายๆของวันรุ่งขึ้น ฉันชงกาแฟด้วยแก้วกาแฟใบประจำของฉันก่อนมุ่งหน้าไปนั่งประจำที่แถวๆสวนเล็กของฉันทันที....ฉันกวาดสายตามองดูรังของเพื่อนตัวน้อย.....มุมมองจากที่ฉันนั่งประจำวันนั้นฉันเห็นรังของเพื่อนตัวน้อยได้ผายออกเล็กน้อยแล้ว พร้อมกับมีเศษใย หรือฟางเส้นเล็กๆห้อยออกมาจากรังเล็กน้อย...ครอบครัวเพื่อนตัวน้อยของฉันคงออกรังไปแล้ว(ฉันคิด) เดี๋ยวกินกาแฟเสร็จฉันขอสำรวจรังของพวกแกใกล้ๆนิดนะ ฉันบอกกับตัวเอง ก่อนที่นั่งจิบกาแฟต่อไปจนหมดแก้ว....


ฉันก้าวเดินอย่างช้าๆตรงมายังรังของเพื่อนตัวน้อย ยิ่งก้าวใจฉันยิ่งเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น....ฉันไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย ฉันภาวนาให้อย่าเป็นเช่นนั้นเลย.....หัวใจฉันอาจหยุดเต้นไปชั่วขณะ สมองของฉันคิดหาคำตอบต่างๆนาๆ เพื่อตอบคำถามให้กับตัวฉันเอง ว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร....ภาพที่ฉันเห็นนอกเหนือจากรังใบไม้ที่เพื่อนตัวน้อยได้สร้างขึ้นผายออก เผยให้เห็นฟางเส้นเล็กๆที่ใช้รองไข่ รองสมาชิกตัวน้อยๆที่เคยอยู่ภายในแล้ว ฉันยังเห็นร่างไร้วิญญานของสมาชิกตัวน้อยอีกหนึ่งตัว ที่มีขาข้างหนึ่งติดอยู่กับฟาง หัวห้อย ออกมานอกรัง หากไม่มีฟางเกาะเกี่ยวขาของเจ้ากระจิบตัวน้อยไว้ ฉันก็คงอาจจะเข้าใจว่าพวกเค้าออกจากรังกันด้วยความปลอดภัยทั้งหมด.....





รังของเพื่อนตัวน้อย

ชีวิตในธรรมชาติไม่ได้สวยงามซะทั้งหมด อย่างน้อยสิ่งที่ฉันพบเจอเข้ากับตัวเองก็เป็นคำตอบอย่างดีได้ว่าหากพวกเรามีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ ก็จงอย่าถือโอกาส หรือฉวยโอกาสกับธรรมชาติเลย ธรรมชาติยังคงมีด้านของความโหดร้ายอยู่ด้วยเสมอ....


กระจิบน้อยไร้วิญญาน

หากแต่ว่าเราอย่าสร้างโอกาสให้ธรรมชาติได้แสดงความโหดร้ายให้พวกเราเห็นจะดีกว่า ฉันว่าเรามีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างที่ควรจะเป็น เพราะทุกวันนี้เราก็ทำลายธรรมชาติกันมากพอแล้ว......
ขณะที่ฉันกำลังมึนงงกับสิ่งที่ฉันพบอยู่ตรงหน้า ซึ่งขณะนี้ห่างออกไปจากใบหน้าของฉันไม่ถึง 1 เมตร ฉันก็ได้ยินเสียงที่ฉันคุ้นหูมาเป็นระยะเวลาแรมเดือน....จิบ จิบ จิบ ดังขึ้นและถี่มากยิ่งขี้น ฉันกวดสายตามองไปยังต้นเสียง....เจ้าพ่อ และแม่ของกระจิบน้อยเข้ามาเกาะบนโครงหลังคา ไม่ห่างจากรังของพวกมันนัก...คงกำลังร้องเพื่อรอเสียงร้องตอบ ของลูกตัวอื่นๆ ฉันเองก็มองไม่เห็นลูกนกกระจิบตัวอื่นๆแล้ว....ฉันคาดว่าเหตุการณ์คงจะเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ฉันจะกลับมาที่บ้าน.....ฉันยิ่งเศร้าใจหนักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านักที่เห็นพ่อ แม่ กระจิบน้อยทำเช่นนั้น



ฉันว่าเป็นพ่อนกกระจิบ

ส่วนเจ้าตัวแม่ก็พยายามกระโดดไป กระโดดมาเพื่อเข้ามายังที่ที่เคยเป็นรังของพวกมัน ฉันเห็นดังนั้นฉันเลยรีบขยับหนีจากจุดที่ฉันยืนใกล้ๆรังไปยังที่นั่งประจำของฉัน....เมื่อฉันจากไป แม่นกกระจิบก็กระโดดเจ้ามาที่รังทันที มันใช้เวลาไม่นานนักเพื่อสำรวจร่างไร้วิญญานของลูกมัน ก่อนที่จะกระโดดหนีออกไป....



ฉันว่าเป็นแม่นกกระจิบ

ไม่ต้องบรรยายฉันก็เดาได้ว่าพ่อและแม่ของนกกระจิบจะเศร้าใจเพียงใด...มันคงเศร้ากว่าที่ฉันเศร้าเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่ๆ...พ่อ แม่นกยังคงร้องเรียกดังกึกก้องไปทั่วสวนเล็กๆที่บ้านฉันเป็นเวลาอีกร่วมชั่วโมง ในขณะที่ฉันเองก็พยายามหาคำตอบว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น...ลมฝนที่พัดกระหน่ำจนรังพังเสียหาย...สัตว์อื่นที่ไม่ใช่เจ้าอ้วนอารมณ์บูดของฉัน(อาจจะเป็นเจ้าเหมียวที่เดินผ่านบ้านฉันไปมาเป็นประจำ)....หรือเจ้าอ้วนอารมณ์บูดของฉัน.....ฉันคิดวนไปวนมา แต่ฉันก็สรุปไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆเจ้ากระจิบน้อยไร้วิญญานมันไม่มีโอกาสได้ฝึกบิน ไม่มีโอกาสโตขึ้นมาเป็นพ่อหรือแม่กระจิบแล้ว.......เหมือนกับฉันที่ไม่สามารถหาคำตอบสุดท้ายได้...แต่ฉัน....ฉันกลับได้เห็นจุดเริ่มต้นอันหวานชื่นและฉัน...ฉันได้เห็นบทสรุปด้านโหดร้ายของธรรมชาติ ที่น้อยคนจะได้เห็นเหมือนฉัน...ขอบคุณเจ้าครอบครัวนกกระจิบธรรมดา ธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากนกกระจิบธรรมดา ครอบครัวนี้..........มันไม่ธรรมดาจริงๆ.........


ฉันเอง....I'm standing in the world
I want to see the world but the world don't need to see me.


ขอบคุณ : สวนน้อยๆของฉัน ที่นำเรื่องราวบทหนึ่งมาแบ่งปันกับฉัน, ครอบครัวกระจิบธรรมดา(ต้นเรื่อง), เจ้าอ้วนอารมณ์บูด(ฉันยังสรุปไม่ได้ว่าแกทำรึเปล่า)แต่อย่างน้อยแกก็แกล้งทำหูทวนลมอยู่นานเป็นเดือน จนเจ้าลูกกระจิบโต














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น